28 กรกฎาคม 2552

ลุแก่โทสะ..กูใหญ่โว๊ย!


“โทสะ” คือความโมโห ฉุนเฉียว จนไม่สามารถเก็บอารมณ์ได้ ต้องระเบิดพลุ่งพล่านอารมณ์โกรธออกมาให้เป็นที่น่ารังเกียจของคนรอบข้าง ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่มีอาการนี้อยู่ค่อนข้างบ่อย บางครั้งมันเกิดโทสะขึ้นมา ผมก็หักดิบ บีบกักอารมณ์ให้ปั่นป่วนอยู่ภายในอก โดยไม่ปล่อยออกมาสร้างความรำคาญให้แก่ผู้ใด แต่ในบางครั้ง หากสกัดกั้นไม่อยู่ อารมณ์โทสะก็ระเบิดออกมาสร้างความรำคาญให้กับชาวบ้านก็ไม่น้อย...

อารมณ์โทสะบางครั้ง เกิดจากอารมณ์หลง หรือ โมหะจริต คือหลงในตำแหน่งหน้าที่ คิดว่าตนเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่ ที่ไม่มีใครในโลกมาลบหลู่ได้ บางครั้งหากมีใครมาท้วงมาติง หรือใครมาทำความรำคาญเพียงเล็กน้อย ก็จะถูกกล่าวหาว่า กระทำการอันเป็นการ “ลูบคม” หรือ “เหยียบย่ำ” ในศักดิ์ศรี... จะต้องผรุสวาทเข้าใส่ พร้อมทั้งทำหน้าดำหน้าแดงกลั้นอารมณ์โกรธ กระทืบเท้าเป็นฟืนไฟ เพื่อสร้างให้เห็นถึงอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดช...

พวกเราเหล่าคนมีสังกัดครอบหัวกบาล... มักจะเริ่มเป็นอาการนี้ตอนที่เริ่มมี “ตำแหน่ง” หรือ “ฐานานุรูป” โดยจะเริ่มจากความ “ภูมิใจ” ในตำแหน่งหน้าที่ของตนเองก่อน หลังจากนั้นความภูมิใจเริ่มก่อร่างสร้างอัตตาในตนทีละน้อย.... เมื่อเข้าสมาคมกับหน่วยงานต่างๆ ในฐานะของหน่วยงาน ก็จะได้รับการนับหน้าถือตามากยิ่งขึ้น... โมหะจริตจึงเริ่มเข้าครอบงำ หลงคิดว่าตนเองคือผู้ยิ่งใหญ่ หลงว่าตนเองต้องได้รับการนับหน้าถือตา หลงว่าตนเองเป็นผู้เก่งกาจสุดยอดในวงการ...

เมื่อความหลงเพาะบ่มจนเข้าที่.. ก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นก้อนอัตตาขนาดมหึมา คราวนี้ล่ะ... หากใครได้กระทำการอันเป็นการดูหมิ่น บางครั้งแค่เดินตัดหน้า ตัดตา ท่านก็จะตบเข่าผาง พิโรธจนถึงขั้นเป็นเรื่องเป็นราว... ยืนเขย่าไข่หน้าแดงให้รู้ถึงอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดช... เรื่องมันมีอยู่ว่า.. หากท่านใหญ่จริง ก็จะมีลูกสมุน ลิ่วล้อ คอยวิ่งกระทำการปรนนิบัติพัดวีให้ แต่หากใหญ่ไม่จริง... ความทุเรศ ทุรัง ก็จะสะท้อนขึ้นมา...

ท่านครับ ท่านไม่ใช่นายกอไก่ หรือนายเอแอ็นท์นะครับ ท่านเป็นบุคคลขององค์กร เป็นตัวแทนของหน่วยงาน ภาพลักษณ์ขององค์กรที่คนนับร้อยพันฝากไว้กับท่าน ท่านกระทำการย่ำยีจนปี้ป่นไปหมดแล้ว มันวายป่วงไปเพราะโทสะที่เกิดจากโมหะภายในตัวตนของท่าน.. ผมไม่แน่ใจว่าจะมีใครผ่านมาอ่านบทความนี้หรือไม่ และผมไม่แน่ใจว่าบทความนี้จะแทงใจท่านใดหรือไม่ ผมเพียงแค่อยากจะเขียนบทความด่าตัวเอง.. เพื่อถ่ายทอดโทสะ และโมหะภายในตัวตนของผม ออกมาให้ผู้อื่นได้รับรู้ รับทราบครับ...ขอร้อง!!! อย่าร้อนตัว...

25 กรกฎาคม 2552

หาดชะอำ...วันพุธ..


วันนี้วันเสาร์ หาดชะอำจอแจไปด้วยรถ ริมหาดมีคนเดินกันขวักไขว่เต็มไปหมด บรรยากาศคล้ายๆกับเดินเที่ยวงานวัดยังไงยังงั้นเลย... หาดชะอำเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมภายในประเทศติดอันดับ Top 5 มาหลายปี และล่าสุดปี 2009 ยังได้รับรางวัล Gold Award ประเภทแหล่งท่องเที่ยวครอบครัว ของ Trusted Band ที่จัดโดยนิตยสาร Readers Digest อีกด้วย แน่นอนที่สุดแหล่งท่องเที่ยวดัง คนก็ต้องมากมายล้นหลามเป็นธรรมดา

แต่หาดชะอำก็มีวันสงบเงียบกับเขาอยู่เหมือนกัน สำหรับผู้รักความสันโดษ ต้องการท่องเที่ยวหาดชะอำที่มีความเงียบสงบประดุจเป็นหาดส่วนตัว ผมขอนำเสนอการท่องเที่ยวหาดชะอำในวันพุธ เพราะวันพุธหาดชะอำจะเป็นวันพักหาด ทางเทศบาลชะอำเค้าจะไม่อนุญาตให้มีเตียงผ้าใบ หรือแผงลอยใดๆให้รกหูรกตา นักท่องเที่ยวก็บางตาจนแทบจะไม่มี ท่านจะมีอิสระทางจิตวิญญาณ ไม่มีสิ่งขวางตาใดๆ ระหว่างตัวท่านกับธรรมชาติ... ผมเก็บภาพด้วยมือถือรุ่นหลวงแจก เอามาให้ท่านดู ถ่ายเมื่อวันพุธที่แล้ว (22 ก.ค. 52) ฟ้าฝนมืดครึ้มไปนิดนึง แต่เงียบสงบได้ใจครับ...

แน่นอนครับของอย่างนี้ต้องลงทุน ต้องลางาน ต้องโดดงาน แต่ถ้าเราแลกกับการท่องเที่ยวที่เหนือกว่าการท่องเที่ยวเชิงปริมาณแบบตลาดๆ ผมว่ามันโอเคน๊ะครับ...
(วันพุธ ช่วง Long Weekend, ช่วงปิดเทอมใหญ่ เค้าไม่ปิดหาดนะครับ...)

24 กรกฎาคม 2552

ดื่มอย่างไร.. ไม่ให้ "เมาค้าง"...


ทำงานอย่างคุณ อย่างผม คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีรายการดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ หลังเลิกงาน ไหนจะพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง... ไหนจะต้องดื่มเพื่อสังสรรค์กับลูกค้า... และถ้าคืนไหนเกิดดื่มเลยเถิด เกิน limit เมื่อไหร่... ตอนเช้าอาการปวดหัว อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ก็จะมาเยือนแต่เช้า บางครั้งเล่นเอาทำงานไม่ได้ไปซะครึ่งค่อนวัน อาการนี้แหละที่เค้าเรียกกันว่า “เมาค้าง”...

วิธีป้องกันการเมาค้างที่ดีที่สุดคือ “ไม่ดื่มเหล้า”... แต่ถ้าหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมมีวิธีเด็ดๆมาฝากครับ วิธีนี้ผมจำมาจากรายการโทรทัศน์ที่ชื่อว่า Mega Clever เค้าแบ่งคนออกเป็น 3 กลุ่ม โดยทดลองให้ทั้ง 3 คนไปดื่มเหล้าตอนกลางคืนอย่างหนัก แล้วให้ปฏิบัติตัวต่างกัน ดังนี้

กลุ่มที่ 1. หลังจากดื่มเหล้า ก่อนเข้านอนให้ดื่มน้ำปริมาณมากๆ
กลุ่มที่ 2. ระหว่างดื่มเหล้า ให้ดื่มเหล้า สลับกับการดื่มน้ำเปล่า
กลุ่มที่ 3. หลังจากดื่มเหล้า ก่อนนอนกินยาแก้ปวดก่อนเข้านอน

ผลก็คือกลุ่มที่ 1. ยังคงเมาค้างแบบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ส่วนกลุ่มที่ 2. และกลุ่มที่ 3. อาการเมาค้างแทบจะไม่มีหลงเหลืออยู่เลย เค้าอธิบายว่าการดื่มเหล้ากับน้ำสลับกัน ทำให้ปริมาณแอลกอฮอล์เจือจางลง จึงทำให้ระบบในร่างกายกำจัดได้อย่างหมดจดกว่า ส่วนการกินยาแก้ปวดก่อนเข้านอน ให้ลดการอักเสบของอวัยวะที่ทำหน้าที่กำจัดของเสีย (ตับ และไต) ทำให้ไม่ปวดหัวและอ่อนเพลียในตอนตื่นนอน

สำหรับวิธีที่ 1 ที่ไม่ได้ผลเนื่องจากการดื่มน้ำตามก่อนนอน น้ำเข้าสู่ร่างกายช้าไป เพราะปริมาณแอลกอฮอล์มากมาย ได้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่ายกายไปก่อนหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รายการเค้าเลยแนะนำให้ใช้วิธีที่ 2. และที่ 3. ควบคู่กันไป

คือ ดื่มเหล้าสลับกับดื่มน้ำ (ไม่ใช่เบียร์น๊ะ) และ กินยาแก้ปวดก่อนเข้านอน

23 กรกฎาคม 2552

..ตะเบ๊ะ..


วันนี้ตื่นสาย.. เรารีบดิ่งลงลิฟต์จากหอพัก มาที่รถอย่างรีบเร่ง.. ยามหน้าตาไม่คุ้นยืนรอที่หน้าประตู ตบเท้าชิดเท้า ตะเบ๊ะอยู่ที่ข้างรถ ยามที่นี่เค้าจะเปลี่ยนกันเป็นรุ่นๆ ทุก 2-3 เดือน เปลี่ยนมาใหม่ๆ ก็ตะเบ๊ะทำความเคารพกันอย่างเคร่งครัด พอนานไป ประตูกั้นรถเข้า-ออก หอ มันยังไม่อยากจะเปิดให้เลย..

ท่าตะเบ๊ะ เรียกเป็นทางการว่า “วันทยหัตถ์” หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Salute” เป็นท่าทำความเคารพของคนที่อยู่ในเครื่องแบบ และไม่มีอาวุธ (ถ้ามีอาวุธจะใช้วันทยาวุธ หรือ Present arms) โดยมักใช้แสดงความเคารพในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ในเครื่องแบบ ที่มีการสวมหมวก (หากไม่ได้สวมหมวกนิยมจะยกมือไหว้ทักทายแทน) โดยตามมารยาทแล้ว หากมีคนตะเบ๊ะให้เรา... ถ้าเราอยู่ในเครื่องแบบที่มีหมวก ก็ให้ “ตะเบ๊ะ” กลับไป... หรือถ้าไม่ได้อยู่ในเครื่องแบบ ก็ให้ยกมือไหว้แบบรับไหว้... ทั้งนี้ในกรณีที่เป็นยามหน้าหอ ที่มาคอยตะเบ๊ะเราวันละ 3 ครั้ง ก่อนและหลังอาหาร ท่านว่าให้เราค้อมหัวรับการตะเบะแบบงามๆ ก็เพียงพอ...

ความเป็นมาของท่าตะเบ๊ะ สืบเนื่องมาจากเมืองฝรั่งตั้งแต่สมัยยังใส่ชุดเกราะโลหะกันอยู่โน่นแหละ ทุกครั้งที่อัศวินเดินผ่านกัน ต้องมีการแสดงตัวว่าเป็นพวกเดียวกัน ไม่ใช่พวกศัตรูปลอมตัวมา ด้วยการเปิดกระจังหน้าหมวกเกราะขึ้น เพื่อมองให้เห็นใบหน้า โดยท่าเปิดกระจังหมวกเกราะนี่เอง.. ที่พัฒนากลายมาเป็นท่า “ตะเบ๊ะ” ในปัจจุบัน

22 กรกฎาคม 2552

ของเล่นคนเพชรฯ


อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว ว่าคนเพชรมีของเล่นอยู่ไม่กี่อย่าง วัยรุ่นเมืองเพชรพอนมเริ่มแตกพาน ก็จะขวนขวายหารถมอเตอร์ไซด์ รุ่นเท่ห์ๆไว้ขับแข่งอวดกัน... แล้วก็หาวัวลานไว้ไปสมบัติของตัวเอง เอาไว้ประคบประหงมเลี้ยงดูเพื่อเอาไว้แข่งกันตามลานวัวต่างๆ และอีกอย่างหนึ่งคืน “ปืน”...

ปืนยอดนิยมของคนเพชรคือปืนขนาด 11 ม.ม. ยี่ห้อโคลท์ตราม้า เจ้าของสโลแกนที่ว่า “God made man, Colt made men equal ” ปืนรุ่นนี้มีชื่อรุ่นเป็นทางการว่า 1911 A 1 คือผลิตมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1911 โน่นแหละ... บางคนก็เรียกปืนรุ่นนี้ว่า U.S. Army เนื่องจากปืนนี้เคยบรรจุเข้าประจำการอย่างเป็นทางการในกองทัพของอเมริกา...

จุดเด่นของปืนรุ่นนี้คือระบบไม่ซับซ้อน ถอดอุปกรณ์ได้ง่ายๆ ด้วยมือเปล่า กระสุนขนาด 11 ม.ม. (หรือขนาด .45 นิ้ว) มีแรงเหลือเฟือที่จะหยุดยั้ง... เนื่องจากกระสุนมีหัวใหญ่ มีขนาดหนัก จึงมีแรงปะทะสูง เมื่อกระสุนถูกส่งออกจากปืนไปแล้ว ลูกกระสุนจะถูกส่งเข้าไปในร่างกายของคนโดยไม่ทะลุออก... ทำให้เกิดแรงปะทะขนาดหนักจะส่งผลให้เกิดอาการ Hydraulic Shock หรืออาการที่ของเหลวในร่างกาย (เลือด) ถูกกระแทกให้ทะลักออกในทุกๆทวาร... ผู้ถูกยิงจึงจะหมดสติในวินาทีที่ถูกยิงนั่นเอง...

สำหรับอำนาจการทะลุทะลวง ปืน 11 ม.ม. จะมีอำนาจต่ำกว่ากระสุนขนาด 9 ม.ม. ปืนขนาด 11 ม.ม. จึงไม่เหมาะสำหรับการยิงเจาะทะลวงตัวถังรถ บานประตูไม้สักหนาๆ หรือ แผ่นเหล็ก แต่การยิงเพื่อยับยั้งบุคคลจะมีอำนาจการหยุดยั้งที่เหนือกว่า... เพราะปืน 11 ม.ม. ถูกออกแบบมาครั้งแรกเพื่อใช้สำหรับการหยุดยั้ง คนป่าที่บ้าคลั่ง ในเกาะแก่งของประเทศฟิลิปปินส์ (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเผ่าโมโร) เพราะคนป่าไม่มีความกลัว เมื่อถูกลูกปืนทะลุร่างกาย คนป่าก็ยังสามารถชาร์จเข้ามาทำร้ายได้อีก แต่ปืนขนาด 11 ม.ม. จะมีแรงปะทะสูง ทำให้ผู้ถูกยิงหงายท้อง หมดสติไปในทันที...

ปืน 11 ม.ม. จึงเป็นของเล่นของรักของคนเพชร เนื่องจากคนเพชรเป็นคนตรง ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่ชอบอะไรที่ยืดเยื้อ ....นัดเดียว...จบ...

เอาล่ะ.. รู่เหลื่อง..

ใครมีเพื่อนเป็นคนเพชร ต้องเคยได้ยินการตอบรับด้วยคำว่า "รู่เหลื่อง" อย่างแน่นอน.. คำพื้นๆคำนี้ คนเพชรใช้ค่อนข้างจะฟุ่มเฟือย โดยจะใช้ในการรับคำ บางครั้งก็ใช้แทนคำว่า "ได้ครับ"... คำนี้หากแปลเป็นความหมายภาษากรุงเทพฯ ก็น่าจะแปลตรงๆว่า "จัดให้คร๊าบ..." หรือประมาณภาษาฝรั่งว่า "You got it!"

พี่โส อานนท์ ศิลปินพื้นถิ่นเพชร แต่งเพลงประชดประชันคำนี้ไว้แสบสันต์เหมือนกัน ลองฟังดูครับ

เพลงรู้เรื่อง โดย โส อานนท์

สมมะน่า อยากอ่อนเค็ม...

...สมมะน่า อยากอ่อนเค็ม... ภาษาเพชรคำนี้ออกแนวเยาะเย้ยถากถาง ประมาณเย้ยหยันว่า “สมน้ำหน้า ไอ้กระจอก อ่อนหัดเหลือเกิน” ใช้ในเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างหลากหลาย เช่น เพื่อนจีบหญิงไม่ติด เราไปถากถางซ้ำซะให้ป่นปี้ ผู้พูดต้องออกเสียงเย้ยหยันให้เหน่อๆแบบสำเนียงเพชรบ้านลาดซักนิด ฟังดูแล้ว บอกตรงๆ “น่าเตะเอามากๆ”

ลองฟังเพลงดูครับ เพลงเพราะๆ จากคีตาญชลี เพลง อ่อนเค็ม ครับ...

อ่อนเค็ม - คีตาญชลี

ไอ้หนุ่มงัวลาน

คนเมืองเพชรถือว่าการแข่ง "งัวลาน" เป็นกีฬาของลูกผู้ชาย เด็กผู้ชายแตกเนื้อหนุ่มขึ้นมา ก็จะต้องหาของ 3 สิ่งเอาไว้เป็นเจ้าของให้ได้ อย่างแรกคือรถมอเตอร์ไซด์ อยางที่สองคือปืน (เพชรบุรีมีปืนที่จดทะเบียนกว่า 7 หมื่นกระบอก และที่ไม่จดทะเบียนมีมากที่จดทะเบียนถึง 2-3 เท่า) เคยนับเฉลี่ยเล่นๆ ว่าผู้ชายเมืองเพชรทุกคน (รวมถึงเด็กทารกที่เพิ่งเกิดใหม่)น่าจะมีปืนคนละ 2 กระบอก จนผู้ใหญ่ในจังหวัดท่านนึง ถึงกับอุทานกลางที่ประชุมว่า "มีแม่ง!อะไรกันนักกันหนาว๊ะ" และหากถึงงานบวช งานแต่ง หรืองานปีใหม่ ฯลฯ คนเพชรชอบที่จะยิงปืนฉลองกันเป็นอย่างยิ่ง บางงานมีปลอกกระสุนเกลื่อนงานมากกว่า 100 นัด!!! และแน่นอนที่สุด มีคนเจ็บตายเพราะถูกลูกปืนตกใส่กบาลมากมาย นับไม่ถ้วนเหมือนกัน (รถกระบะสำนักงานผม ยังได้มารูนึงเลย)

และอย่างที่สามคือ มีวัวเป็นของตัวเอง.. การแข่งขันวัวลานนิยมกันมากที่ อ.บ้านลาด (อำเภออื่นๆ ก็ไม่เป็นรองเหมือนกัน) เค้าจะแข่งขันกันทั้งคืน ใครจะไปดูวัวลานจะมีลีลาการแต่งตัวที่เป็นเอ่กลักษณ์ ที่ห้ามขาดเลยคือผ้าขาวม้าเคียนเอว ต้องมีกันทุกคน... ที่ลานแข่งงัว จะมีเสากลางอยู่ 1 ต้น เป็นเสาฉัตร คนเมืองเพชรแทบทุกงานมงคลจะมีการยกเสาฉัตร เป็นเสาไม้ไผ่สูง มีฉัตรหลากสีสัน ตกแต่งประดับไฟเป็นชั้นๆ อย่างงดงาม...

จากเสาฉัตรตรงกลาง เค้าก็จะเอาวัวลานมามัดติดกันเป็นแถว ร้อยกันไว้เป็นพวง พอถึงเวลาวิ่งแข่งวัวจะวิ่งวนรอบเสาฉัตร ไอ้ตัวที่แข่งกันจะมี 2 ตัวนอก วัวที่อยู่ข้างในเค้าแค่เอาไว้วิ่งเป็นเพื่อน หรือเอามาหัดฝีตีนเผื่อลงแข่งจริงๆในวันหน้า วัวนอกสุดเค้าจะเรียกว่า "งัวนอก" ตัวในถัดมาเรียกว่า "งัวใน"... วิ่งแข่งกันกว่าจะออกผลแพ้ชนะบางทีหวดไปซะหลายสิบรอบ...

พอเริ่มแข่งกัน บรรยากาศการแข่งขันก็ถูกกระตุ้นด้วยการพากย์แบบเมามันสำเนียงภาษาเพชรพันธุ์แท้ แบบบ้านลาด คนที่วางเดิมพันไว้ก็วิ่งไล่กวดวัว เพื่อไล่ให้วัววิ่งเต็มฝีตีน ในมือจะมีไม้ไผ่เรียวเล็ก ตรงปลายมีตะปูฝนจนแหลม ไว้แทงสะโพกวัว เค้าเรียกว่า "กระตัก" น่าจะมาจากคำว่า "ปฏัก"... คนที่ไปดูวัวลานต้องไว เพราะมีหลายครั้งทื่พวงวัวขาด วัววิ่งหลุดออกมา คนดูต้องวิ่งหลบให้ทัน ทางรอดที่ดีที่สุดคือ หลบเข้าใต้ท้องรถขนวัวนั่นแหละ ใครหลบไม่ทัน ถ้าพลาดก็ตายกันได้เลย..

มหรสพในลานวัว สุดยอดนิยมคือการเต้นจ้ำบ๊ะ เต้นกันใจขาด เชียร์กันสนุก ใครผ่านไปผ่านมาแถวเมืองเพชร คราวหน้าลองเมียงมองดูนะครับ ยามค่ำคืนถ้ามีเสาฉัตร แสงสว่างสีสวย มีไฟราวแต่งระยับ เสียงเพลงจ้ำบ๊ะมันส์ เสียงพากษ์แบบบ้านลาด และรถจอดกันยาวเหยียด แวะดูได้ครับ ไม่เสียค่าชม แต่อย่าลืมเอาผ้าข้าวม้าไปด้วยล่ะ ตังค์เดิมพันนิดหน่อย ส่วนไม้กระตัก ไปซื้อที่ลานวัวได้ อันละไม่เกิน 20 บาท..

ลองชมบรรยากาศการแข่งวัวลานมันๆ ประกอบเพลงของพี่โส ศิลปินพื้นบ้านเมืองเพชร ด้วยสำเนียงเพชรแท้ๆ กันครับ เป็นการแข่งขันระหว่างไอ้ไข่หวาน กับไอ้ดอกชะโอน สนุกครับ...

21 กรกฎาคม 2552

อยู่ชะอำเหงาโคตรๆ

บรรยากาศที่เหงาหงอยยามหัวค่ำ ที่หอพักแคทลียาคอนโดเทล T T

คนดีขององค์กร


บทความนี้เป็น รายงานเพื่อส่งอาจารย์ ในวิชาการทำ Blog

Rating : PG15 (สำนวนตลาดคลองเตย)

***********************************
แถกเหงือกทำงานในองค์กรมาเกือบ 20 ปี เป็นคนเลวมานานจนรู้สึกเบื่อ วันนี้ฝนตกพรำๆ ฟ้าผ่าเฉียดหัวหมาไปหลายรอบ เลยเกิดวิมุติว่า อยากเป็นคนดีขึ้นมามั่ง จะต้องทำอย่างไรดี...

เสียงเจ้านายเคยกรอกหูว่า ไอ้การจะเป็นคนดีขององค์กร อย่างแรกต้องรู้หัว รู้ก้อย... เชี่ยเอ๊ย!!! กรูจะเป็นคนดีไม่ใช่เล่นปั่นแปะ จะ"รู้หัวรู้ก้อย" ไปทำแป๊ะ (ภาษาเพชรแปลว่า "ทำพ่อง" : Kiwipedia) อะไร...

รู้หัว รู้ก้อย... น่าจะแปลว่ารู้บทบาท หน้าที่ของตัวเอง อย่าทะลึ่งทำการเกินเจ้านาย คอยปรนนิบัติพัดวีให้เจ้านายแต่พอควร เจ้านายอยากกินกล้วยแขก ก็คอยหาทิชชู่ซับน้ำมันให้กล้วย(ทอด)ของนาย เจ้านายหงุดหงิดอยากด่า ก็พลีกาย พลีหูให้นายด่าเพื่อให้เจ้านายได้สำเร็จความใคร่ทางอารมณ์จนเสร็จสมอารมณ์หมาย...

ปฏิบัติสำเร็จในอย่างแรกแล้ว ก็เข้าสู่อย่างที่สอง จากคำจารึกในไหซอง ณ ทุ่งไหหิน ได้ระบุไว้ว่า คนดีขององค์การ ต้องทุ่มเทชีวิตให้กับการทำงานอย่างสุดลิ่มทิ่มกระดาน ลูกจะมีปัญหาติดยา เป็นตุ๊ด... เมียจะไปมีผัวใหม่ ผัวจะไปทิ่มกิ๊ก... อย่าสนใจ จงทุ่มเทให้กับการทำงานอย่างเต็มที่โดยไม่ว่อกแว่ก....

อย่างที่สาม.. หลักฐานจากใบลานวัดหมาหลง ได้จารไว้ว่า การเป็นคนดีขององค์กร ต้องมี Network ต้องมีญาติสนิทมิตรสหาย มีทั้งเพื่อนตาย และเพื่อนกิน... เพื่อนคนไหนไม่มีตังค์ก็ให้ตังค์มันยืม ใครหิวเหล้า ก็หาเหล้าไปเซ่นสังเวยมัน เพื่อนคนไหนเกิดหงุดหงิดอยากจะกระทืบคน เราก็พลีกายรองบาทาให้มันกระทืบเล่น....

สามข้อนี้ ก็สามารถที่จะทำให้เราเป็นคนดีขององค์กร เป็นที่รักของเพื่อน เพียงแต่ทุกคนนำไปปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

ขอให้พี่น้องทุกคนจงเป็นคนดีขององค์กรสมดังที่ตั้งใจไว้ทุกคนนะขอรับ
ทุกขะตัว ทุกขะถัวนัว...

เจได @ หนองหมาว้อ